Wednesday, October 12, 2011

เทศกาลแห่ปราสาทผึ้ง สกลนคร 2554 Wax Castle Festival




English Information
:::::::::Sakon Nakhon Wax Castle Festival::::::::::

October 1st through October 4th will see yet another festival celebrating the end of Buddhist lent ( Ok Phansa ), The Sakon Nakhon Wax Castle Festival.



The ancient tradition passed down through the ages, originated with the people of Sakon Nakhon carving elaborate trees from poles made of bees wax that they would take to the temple as an offering to make merit. This tradition has grown over the years from ornate trees to elaborate carvings of Buddhist temples and shrines completely made from bees wax.



Sakon Nakhon Wax Castle FestivalAccording to Buddhist religion upon death a person passes on to another life, the quality of that next life is determined by meritorious acts and or good deeds performed in this life. If the person practices the principles of Buddhism and engages in acts of devotion in their life they will gain merit and that merit will accumulate and lead to higher spiritual enlightenment in subsequent lives where they will live in the upper tiers of heaven. If that person doesn’t gain merit then they will be reborn to a life that is worse than their present life.



Sakon Nakhon Wax Castle Festival (1)The wax castles symbolize the ideal spiritual life that one aspires to in the next life. The wax castle festival falls into the Buddhist precept of merit as communal merit making. Many who are blessed with merit coming together for the greater good of the community. This is a special time of the year for families to get together and reunite in merit making activities. The family and community come together with the monks in an expression of Buddhist devotion that strengthens and bonds the family and community with the temple.



This is truly another Thai festival that must be seen. It’s four days of non stop activities includes the Royal boat parade, a light and sound show, a large community dinner and closing  with  the Wax Castle Parade. You can see videos below of the Wax Castle Parade last year.

Read more: http://thailandlandofsmiles.com/2009/09/28/sakon-nakhon-wax-candle-festival-2009/#ixzz1aYAz7P2f
source:http://thailandlandofsmiles.com/2009/09/28/sakon-nakhon-wax-candle-festival-2009/






เอาภาพเทศกาลแห่ปราสาทผึ้งมาฝากค่ะ วันนี้12/10/11 วันสุดท้าย

อันนี้ระหว่างขบวนปราสาทผึ้งเข้าสู่สนามมิ่งเมือง
จะมีพนักงานดันสายไฟ เหอๆ ตปท.เค้าฝังดินนะ ลดปัญหาเรื่องสายไฟไปได้เยอะ


อันนี้คือพระธาตุเชิงชุม ประจำจังหวัดสกลนคร


ชมภาพเลยแล้วกันนะคะ


ข้อมูลแห่ปราสาทผึ้ง
การแห่งปราสาทผึ้ง  เป็นประเพณีโบราณอีสาน มุ่งทำเป็นพุทธบูชา หรือเกี่ยวข้อง กับความเชื่อทางศาสนา คำว่า "ปราสาทผึ้ง" ในภาษาอีสานจะออกเสียง "ผาสาทเผิ่ง"
      ความเชื่อเรื่องการแห่ปราสาทผึ้ง  เกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมทางพุทธศาสนา โดยเริ่ม พิธีกรรมนี้ ในภาคอีสาน ตั้งแต่เมื่อใดนั้นไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ในตำนาน เรื่องหนองหาน (สกลนคร) กล่าวไว้ว่า ในสมัยขอมเรืองอำนาจ และครองเมืองหนองหานในแผ่นดินพระเจ้าสุวรรณภิงคาราช  ได้โปรดให้ ข้าราชบริพารทำต้นผึ้งหรือปราสาทผึ้งในวันออกพรรษา เพื่อห่คบงันที่วัดเชิงชุม (วัดมหาธาตุเชิงชุมวรวิหาร) จากนั้นเมืองหนองหานได้จัดวันปราสาทผึ้ง ติดต่อกันมาทุกปี

ปราสาทผึ้ง
การตกแต่งปราสาทผึ้ง

     ความเชื่อในประเพณีการแห่ปราสาทผึ้งนั้น มีรากฐานของความเชื่อ ที่เนื่องมาจากความเชื่อในพุทธศาสนา ความเชื่อในเรื่องภูตผีวิญญาณ และความเชื่อ ในศาสนาพราหมณ์ กล่าวคือ

     ความเชื่อที่เนื่องในพุทธศาสนา ถือเป็นปรัชญานำมาสู่การสร้างปราสาทผึ้งนั้น มีที่มาจากเรื่องราวพุทธประวัติ ซึ่งมีปรากฏในเหตุการณ์ที่สำคัญคือ เหตุการณ์ตอนที่ พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาที่ป่าปาเลไลยก์ ได้พบช้างและลิงที่มาทำหน้าที่ เป็นอุปัฏฐาก โดยเฉพาะลิงนั้น ได้นำรวงผึ้งมาถวายแด่พระพุทธองค์ เมื่อพระพุทธเจ้า รับรวงผึ้งนั้นไปแัน ทำให้ลิงกระโดดด้วยความดีใจ จนพลาด ตกจากต้นลงมาตาย  ด้วยอานิสงส์ที่ลิงได้ถวายรวงผึ้งแดพระพุทธองค์ (จากการ ที่ผู้จัดทำได้ศึกษาเรื่องนี้ ก็ไม่ปรากฏว่าลิงพลาดตกต้นไม้แต่ประการใด ไม่ทราบว่า คงมีใครเอามาเล่าต่อ ๆ  กันมา) ทำให้ได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และเหตุการณ์ ตอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ขณะเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ภายหลังจากที่เสด็จไปจำพรรษา เทศนาโปรดพระพุทธมารดา และเหล่าเทวดา ด้วยการเปิดโลกทั้งสาม คือ สวรรคภูมิ  มนุษยภูมิ และนรกภูมิ ได้เห็นซึ่งกันและกัน โดยตลอด ซึ่งเรียกเหตุการณ์ตอนนี้ว่า เทโวโรหนปริวัตต์  ทำให้ผู้คนเห็น ความแตกต่าง ของความสะดวกสบายบนสวรรคภูมิ และความยากลำบากในนรกภูมิ ด้วยเหตุดังกล่าว ทำให้พุทธศาสนิกชน ได้คิดสร้างอาคารศาสนสถาน ถวายเป็น พุทธบูชาด้วยหวังให้เป็นอานิสงส์เพื่อที่จะได้ไปเกิดบนสวรรค์


ปราสาทผึ้ง อันสวยสดงดงาม

     ส่วนความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างปราสาทผึ้งจาเรื่องไตรภูมิพระร่วง ในพุทธศาสนา ซึ่งเป็นคำสอนที่มีปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนา ที่ว่าด้วยการที่มนุษย์ต้องเวียนว่าย ตายเกิดในโลกภูมิต่าง ๆ  ตามที่ได้ประกอบกรรมดีหรือกรรมชั่วไว้ โดยเฉพาะ ความเชื่อที่ว่า ผู้ที่ประกอบกรรมดีจะได้ไปเกิดบนสวรรค์ภูมิชั้นต่าง ๆ  ที่มีวิมาน ปราสาทเป็นเรือนที่อยู่อาศัย

     ความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างปราสาทผึ้งจากเรื่องราวที่ปรากฏในคัมภีร์ มาเลยยเทวัตเถรวัตถุ (เป็นของพระลังกาแต่ง) ที่ได้กล่าวถึงพระมาลัยอรหันต์ ซึ่งเป็นพุทธสาวกองค์หนึ่ง (ไม่ใช่สาวกที่เกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า แต่เป็นสาวก รุ่นหลัง เหมือนพระนาคเสน และเป็นพระลังกา) ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เคย ไปเทศนาโปรดสัตว์ในนรกภูมิ (ความจริงแล้ว สัตว์นรกไม่สามารถฟังธรรมได้ เพราะอำนาจบาปกรรมที่ทำไว้ ไม่มีปัญญาที่จะรับรู้หรือเข้าใจธรรมได้) และได้เสด็จ ขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อไหว้องค์พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย์ (ในตำราทางพุทธ เถรวาท เรียกว่า "พระเมตไตยะ"  ที่จะเสด็จมาตรัสรู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาล หลังจากนั้น พระมาลัยอรหันต์ ได้เทศนาโปรดแก่พุทธศาสนิกชน เพื่อให้ทราบถึงวิธีการสร้างบุญกุศล เพื่อที่จะได้ไปเกิดบนสวรรค์ รวมทั้งการสร้าง อาคารศาสนสถานถวายเป็นพุทธบูชานั้นเป็นหนทางหนึ่ง ที่เป็นอานิสงส์ นำพาให้ได้ ไปเกิดในบนสวรรค์ มีวิมานเป็นที่อยู่อาศัย และมีเหล่านางฟ้าเป็นบริวารด้วย
zoom zoom งานนี้ใช้เวลาทำเป็นเดือนๆนะคะ เพื่อวันนี้เลย


     ความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างปราสาทผึ้ง จากเรื่องการประกอบพิธีพลีดวงวิญญาณ หรือพิธีกงเต็กตามคติในพุทธศาสนามหายาน ด้วยการจัดทำสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ตลอดจนการสร้างบ้านเรือนด้วยกระดาษ ในลักษณะของสิ่งของเครื่องใช้ และบ้านจำลอง แล้วนำมาเผาอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ผู้ล่วงลับ ได้นำไปใช้อยู่อาศัยในโลกหน้าต่อไป








     ความเชื่อที่เนื่องในภูตผีวิญญาณ เป็นความเชื่อพื้นบ้านที่ทำให้ชาวอีสาน ถือเป็น ปรัชญาคติที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างปราสาทผึ้ง คือ ความเชื่อที่ว่า คนที่ตายไป แล้ว  ดวงวิญญาณ (ทางพุทธเรียกว่า "โอปปาติกะ = สัตว์จำพวกหนึ่ง ที่ผุดเกิดขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ เช่น เทวดา สัตว์นรก เปรต อสุรกาย มนุษย์ต้นกัลป์ ฯลฯ เรียกง่าย ๆ  ว่า กายทิพย์") ก็ยังต้องการสิ่งต่าง ๆ  เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การต้องการที่อยู่อาศัย ทำให้มีการประกอบพิธีเซ่นสรวง ดวงวิญญาณ ตลอดจนการสร้างเรือนจำลองในลักษณะของศาลหรือหอผี (อีสาน ก็ทำเหมือนจีน คือ เอาไม้ไผ่มาทำเป็นโครงบ้าน แล้วปะด้วยกระดาษ) เพื่ออุทิศ ให้เป็นที่สิงสถิตแก่ดวงวิญญาณด้วย  จากความเชื่อดังกล่าว จึงเป็นแนวคิดส่วนหนึ่ง ที่ปรับเข้ากับการสร้างปราสาทผึ้ง ซึ่งมีลักษณะเป็นอาคารจำลอง เพื่ออุทิศส่วนกุศล จากการสร้างปราสาทผึ้งแก่ดวงวิญญาณบรรพบุึรุษ หรือเจ้ากรรมนายเวรผู้ล่วงลับ


ขบวนแห่งปราสาทผึ้ง

     ปราสาทผึ้งทรงพระธาตุ ลักษณะรูปแบบโดยส่วนรวม คล้ายกับองค์พระสถูปเจดีย์ หรือพระธาตุที่มีปรากฏ ในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คือ เป็นเจดีย์ทรงเหลี่ยม หรือบางทีเรียกว่า เจดีย์ทรง ดอกบัวเหลี่ยม เช่น พระธาตุพนม  พระเชิงชุม  พระธาตุ ศรีสองรักษ์ พระธาตุบังพวน ฯลฯ  จากหลักฐานภาพถ่าย จากกองจดหมายแห่งชาติ สันนิษฐานว่า น่าจะมีการ กระทำอยู่ในช่วง  พ.ศ. 2499 เป็นต้นมา

นายแบบเราตลอดงาน​ โฮะๆ




     ปราสาทผึ้งทรงหอผี เป็นปราสาทผึ้ง ที่สร้างขึ้น เลียนแบบอาคารเรือนที่อยู่อาศัยแบบพื้นเมือง ของชาวอีสาน แต่สร้างให้มีขนาดเล็ก เป็นลักษณะ ของเรือนจำลอง ปราสาทผึ้งแบบทรงหอผี มีลักษณะ เช่นเดียวกับศาลพระภูมิ หรือหอผีที่ชาวอีสาน นิยมสร้าง โดยทั่วไป อันเนื่องด้วยความเชื่อเกี่ยวกับศาลพระภูมิ ศาลมเหศักดิ์ หรือศาลปู่ตา ตามหมู่บ้านต่าง ๆ  ในชนบท ซึ่งลักษณะของศาลต่าง ๆ  เหล่านั้น จะมีลักษณะ โดยส่วนรวม ที่จำลองรูปแบบมาจากลักษณะรูปแบบ ของอาคารเรือนที่อยู่อาศัย  การสร้างปราสาทผึ้ง ทรงหอผี ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เมื่อประมาณ พ.ศ. 2473 เป็นต้นมา
ปราสาทผึ้ง
ขบวนแห่งปราสาทผึ้ง

     ปราสาทผึ้งทรงบุษบก  เป็นปราสาทผึ้ง ที่สร้างขึ้น เลียนแบบหรือจำลองจากบุษบก บุกษบก เป็นเรือนเครื่องยอดขนาดเล็ก หลังคาทรงมณฑป ตัวเรือนโปร่ง มีฐานทึบและเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ย่อมุขไม้ ลักษณะของปราสาทผึ้ง ทรงบุษบกนี้ มีลักษณะ เช่นเดียวกับบุษบกธรรมาสน์ ที่พระสงฆ์นั่งแสดงธรรม ซึ่งชาวอีสานเรียกว่า หอธรรมาสน์ หรือธรรมาสน์เทศน์

the 2D wax crafting,the story related to ancient Sakon Nakhon Province or the Buddha's story.
 แกะสลักขี้ผึ้งเป็นเรื่อ่งราวของจังหวัด หรือพุทธประวัติ



ปราสาทผึ้งที่ได้รางวัลชนะเลิศ(ถ้าจำไม่ผิดนะคะ)


    ปราสาทผึ้งทรงจตุรมุข เป็นปราสาทผึ้งที่สร้างขึ้น เลียนแบบหรือมีลักษณะที่แสดงถึงการจำลองรูปแบบ มาจากพระที่นั่งปราสาทราชมณเฑียรสถาน ในพระบรมมหาราชวัง แต่มีขนาดเล็กเป็นลักษณะ ของอาคารจำลอง ลักษณะรูปแบบของอาคาร ทรงจตุรมุข คือ อาคารที่มีแผนผังเป็นรูปกากบาท มีสันหลังคาจั่ว ชั้นบนอยู่ในระดับเดียวกัน และออกมุข เสมอกันทั้งสี่ด้าน ที่หลังคามีจั่วหรือหน้าบันประจำมุข ด้านละจั่ว หรือด้านละหนึ่งหน้าบัน ด้วยเหตุที่มีการออกมุขทั้งสี่ด้าน และประกอบด้วยหน้าบัน สี่ด้าน จึงเรียกว่า ทรงจตุรมุข  ซึ่งเป็นอาคาร ที่มีเรือนยอดเป็นชั้นสูงเช่นเดียวกับอาคารประเภทบุษบก และมีการออกมุขทั้งสี่ด้านที่หลังคาทรงจั่ว



     โดยทั่วไป ประชาชนจะนับเอาวันขึ้น  14  ค่ำ เดือน 11 เป็นวัน "โฮม" หรือวันรวมปราสาทผึ้งจากคุ้มต่าง ๆ ที่บริเวณวัด แต่ละคุ้มจะอยู่ซุ้มของตนเอง

     วันรุ่งขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 มีการทำบุญตักบาตร เสร็จแล้วจัดขบวนแห่ปราสาทผึ้ง ในแต่ละขบวน จะแห่ด้วยเกวียนใช้คนเทียมแทนวัว นางฟ้าปราสาทผึ้ง (เทพี) จะนั่งอยู่ตอนหน้าของเกวียน  ตรงกลางเป็น ปราสาทผึ้ง ขบวนแห่มีพิณ กลอง ฆ้อง ตามด้วยขบวนคนหนุ่มสาว และเฒ่าแก่ถือธูป เทียน ประนมมือ แห่ครบ 3 รอบ ก็ถวายแก่ทางวัด ประเพณีปัจจับัน นิยมทำกันมากในสี่จังหวัดภาคอีสาน คือ สกลนคร  นครพนม  หนองคาย และเลย

ที่มา..http://allknowledges.tripod.com/beepalace.html







Flower decoration Parade ขบวนแห่พฤกษชาติ


Garuda ครุฑ


Ancient National Dress


บรรยากาศของงาน








Ancient Wax Castle ปราสาทผึ้งแบบโบราณ




งานวัดรึเปล่านิ


Example of Parade ตัวอย่างขบวนแห่
















ขอคลายเครียดกับชาวไทยที่ประสบภัยทุกท่านค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ คุณยังเหลือชีวิต และงานนี้ที่จะต้องมาดูครั้งหนึ่งในชีวิตค่ะ

In Muang,Sakon Nakhon,Thailand ,we're still safe from the flood,as the location is located in highland and we can cerebrate the End of Buddhist lent which called "Wax Castle festival" the only festival in Thailand.It's held annually.Tomorrow 12/10/11 will be the last day of this festival.

Btw. WE CHEER UP FOR THAI AND PEPPLE WHO FACED THE FLOOD! BE STRONG,WE'RE WITH YOU


Wednesday, October 5, 2011

ละตินมาเที่ยวสกลนคร...ตอน ของฝากเป็นหมากเม่า Latin Group visit Sakon Nakhon ep.Mulberry





เริ่มอัพบล็อกตอนสี่ทุ่ม คาดว่าจะอัพเสร็จอีกประมาณชาตินึง อะไม่ใช่
ปกติจะอัพตามที่คิดเลย ซึ่งถ้ารอให้อะไรๆลงตัวก็จะต้องรอนาน
แต่ช่วงนี้งานเข้า

ไอ้ครั้น จะรองานเลิกก็คงไม่ได้อัพกันพอดี

I started uploaded this blog at 10 pm.
Normally,I uploaded directly without draft.So it may took a long time for perfectly entry.
Also I'm quite busy this time but I'll try my best.
::::::::::::::::::

กลับมาสู่หัวบล็อกค่ะ
พอดีกลุ่มนักธุรกิจSMEs จาก14 ประเทศละตินอเมริกาและทะเลแคริบเบียน
ได้รับทุนจากรัฐบาลไทย มาดูงาน(และมาเที่ยว)ประเทศไทย
เค้าออกให้ตั้งแต่ตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และทุกอย่างให้กลุ่มนักธุรกิจกลุ่มนี้
รายละเอียดเชิญดูที่เวป
http://utcc2.utcc.ac.th/sealac/


According to the subject.
The SMEs group from Latin America and Caribbean Sea 14 countries have got scholarship from Thai Government to visit Thailand.
The Thai government supported air ticket,hotel and everything.
If you're interested please visit their website:
http://utcc2.utcc.ac.th/sealac/



ข้าพเจ้าก็ได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ใจดี
ได้ฟื้นฟูภาษาอังกฤษให้กระเตื้องขึ้นบ้าง
ตอนนี้ภาษาอีสานจะเริ่มแอดวานซ์แล่ว(ทักษะฟังนะฮะ)

เรามารอกันที่โรงแรมหนองหาร ดิอิลิแกรนด์
กรุ๊ปมาช้าสองชั่วโมง จากหกโมงเย็นเป็นสองทุ่ม
(รถทัวร์ออกจากกทม.สิบโมงเช้า)
มืดกันเลยทีเดียว...

ของที่จะโชว์และเชิญโอท้อปท้องถิ่นมาขายก็เลยรอกันอยู่นาน
ตัวชาวต่างชาติก็ไม่ได้เปลี่ยนชุดเลย เสื้อยืดกางเกงขาสั้น

เราเสิร์ฟอาหารแบบคอร์ส ให้นศ.การโรงแรมจากราชภัฎมาทดลองฝึกงานด้วย


มันก็แลดูเก้ๆกังๆเพราะเราได้รับแจ้งไว้เลยใส่ซะเต็มคราบ


คนนั่งข้างๆเรามาจากประเทศเปรู เชื้อสายสเปน
ก็บอกว่าเกือบทุกคนพูดภาษาสเปน ออกเสียงสำเนียงประเทศต่างๆให้ฟังด้วย
อืมๆ คงเหมือนภาษาเหนือแต่ละจังหวัด หรืออีสานแต่ละจังหวัดละมั้ง
เค้าทำส่งออกอาหาร มีไปดูงานโรงงานอาหารด้วย เลยได้ออเดอร์เลย


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
เช้าวันรุ่งขึ้น เรามีเวลา แนะนำสินค้าประจำจังหวัดสกลนคร
เป้นสินค้าชื่อดัง และน่าลิ้มลอง

คือ ไวน์หมากเม่า,หมากเม่าเข้มข้น,และหมากเม่าพร้อมดื่ม

วิจัยโดย มหาวิทยาลัยราชมงคลอีสาน จ.สกลนคร

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เอาข้อมูลมะเม่ามาฝากค่ะ

หมากเม่า  (มะเม่า เม่าเสี้ยน มัดเซ)
เป็นผลไม้ชั้นนำในเขตภาคอีสาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร ส่วนภาคอื่นๆ เรียกว่า "เม่า" ชื่อวิทยาศาสตร์ Antidesma velutinosum Blume ในวงศ์ Stilaginaceae. เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ความสูงประมาณ 12-15 เมตร ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคม และผลจะสุกในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน

ซูมๆ


ประโยชน์ หมากเม่า

1. ผลดิบสีเขียวอ่อน ประกอบอาหารคล้ายส้มตำเม่า

2. ผลแก่สีแดงมีรสเปรี้ยว ส่วนผลแก่จัดสีดำม่วง จะมีรสหวานอมเปรี้ยว รับประทานเป็นผลไม้สด

3. ผลมีสรรพคุณเป็นยาระบายและบำรุงสายตา ใบสดนำมาอังไฟเพื่อใช้ประคบแก้อาการฟกช้ำดำเขียว เปลือกต้นเม่าใช้เป็นส่วนประกอบของลูกประคบ



4. ผลหมากเม่าสุก มีกรดอะมิโน 18 ชนิด แคลเซียม เหล็ก สังกะสี วิตามิน B1 B2 C และ E

5. ผลิตภัณฑ์แปรรูปเช่น น้ำผลไม้ ไวน์เม่า แยม กวน สีธรรมชาติผสมอาหาร ฯลฯ

6. น้ำเม่าสกัดเข้มข้น 100% มีสารอาหาร วิตามินหลายชนิด ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายรวมทั้ง มีสารต้านอนุมูลอิสระ

7.ไวน์หมากเม่า มีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง

8.กัมมาลและคณะ (2546) ศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อ HIV เชื้อรา เชื้อแบคทีเรียของสมุนไพรไทย 5 ชนิด คือ มะเม่า ฟ้าทลายโจร หญ้าแห้วหมู ผักเป็ดแดง และสายน้ำผึ้ง พบว่า มะเม่า สายน้ำผึ้ง และหญ้าแห้วหมู มีศักยภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและมีฤทธิ์ต้านเชื้อ HIV ได้

ลักษณะดีเด่นของมะเม่าคือ มีสารอาหารที่ร่างกายต้องการหลายชนิด เช่น แคลเซียม เหล็ก วิตามินอี วิตามินบี 1 และบี 2 มีกรดอะมิโม และสารแอนโธไซยานิน ซึ่งให้สีม่วงแดง มีฤทธิ์ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นดี โดยเฉพาะเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงสายตา และยังมีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการแก่ชราของเซลล์และเพิ่มภูมิคุ้มกันอีกด้วย


มะเม่าสามารถนำมาทำไวน์ได้

ข้อมูลจาก
http://natres.psu.ac.th/radio/radio_article/radio42-43/42-430034.htm
http://www.teenpath.net/teennature/Content.asp?Sub=11&ID=00109
http://learners.in.th/blog/nattanan/83172
และhttp://e-learning.konmun.com/Fruit/id60.aspx

เอ่ิม...หมดแรงข้าวต้มมัดแล้วคะ่
เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปใส่บาตรพระ10000 รูป
ไว้คราวหน้าจะมาเล่าเรื่อง

"พาชมหมู่บ้านวัฒนธรรมผ้าคราม บ้านพันนา จ.สกลนคร"

ผ้าย้อมคราม สีนำเงินคล้ายหม้อฮ่อม แต่ต่างกันในต้นกำเนิดและวิธีผลิตสี
ไว้จะมาเล่าพร้อมภาพปลากรอบราดข้าวคราวหน้าค่ะ

แล้วเจอกันที่งานแห่ปราสาทผึ้งนะคะ

ปล.1 สติช่วงเทศกาล
เมื่อวานคนรู้จักมาที่บ้าน ก็ทานข้าวเปียกเส้นกัน เราก็มัวแต่ล้างจาน
พอเตรียมเครื่องด่ืมเสร็จเค้าก็เห็นว่าเค้าลากลับกันแล้ว
อีกไม่เกินสิบนาที ก็ได้รับสายจากพ่อเราว่าสองสามีภรรยาประสบอุบัติเหตุ
รถจักรยานยนต์ตัดหน้า และรถกันชนหลุดเลย...

ที่หนักกว่านั้นคือ คนขับจยย.เสียชีวิตคาที่ 1  บาดเจ็บ1
ดีที่คนรู้จักเราไม่เป็นอะไร แต่ขวัญเสียกันน่าดู
น้องชายเราไปช่วยที่สถานีตำรวจ จนตี1 ทราบว่า
คนขับจยย.เมาเลยพุ่งรถออกมา

คนรู้จักเราก็ขับเร็วด้วยละมั้ง
สรุปว่า...การเดินทางในช่วงเทศกาลก็ขอให้มีสติให้มากที่สุดแล้วกันค่ะ

ถ้ากลับกัน เป็นสองคนที่เรารู้จักเป็นผู้ประสบเคราะห์แทน..จะเป็นอย่างไร
เสียดาย..
เราน่าจะอยุ่คุยกับเค้าสักพัก
ถ้าช้าหรือเร็วกว่านี้สักหน่อยก็คงไม่เกิดเหตุอันน่าเสียใจเช่นนี้
(คุ้นๆเหมือนฟอร์เวิร์ดเมลล์สักเรือ่งเลย แต่นีืคือเรื่องจริง)

เอาละ..มองในแง่ของความจริงๆ
อาจถึงฆาตของคนขับจยย. หรือ
อาจเป็นการเตือนคุ่สามีภรรยาถึงความสำคัญของชีวิตแต่ละลมหายใจ

วันนี้เค้าสองคนก็อยู่บ้านกับลูกเล็กๆทั้งสองคน งดรับทุกงาน
ที่ปกติเค้าจะออกจากบ้านแต่เช้าและกลับบ้านค่ำมืด เดินทางกันตลอด
เราว่านี่เป็นบทเรียนการฟาดเคราะห์อีกกรณีหนึ่งแล้วกันนะ

ปล.2 เรื่องน้ำท่วมเป็นเรื่องเดิมๆที่น่าเบื่อ น่าสงสาร
ที่น่าเบือคือดูรายการตอบโจทย์ของชองทีพีบีเอส ก็เห็นว่า
เรามีแต่ตั้งรับจริงๆ..เรารู้ข้อมูลเยอะ และสิ่งเหล่านี้คาดการณ์ได้ เพราะเกิดทุกปี
แต่มันก็เกิด และเราก็ตั้งรับจริงๆ ไม่มีใครคิดวางแผน...น่าเบื่อ

ที่น่าสงสารคือชาวบ้านตาดำๆ ดูยายร้องไห้ไม่กล้าออกจากบ้านกลัวลื่นกลัวเป็นลม
และยาหมด ไม่มีน้ำไฟ และของกิน..น่าสงสาร

เอิ่ม..ชักจะไม่ใช่บล็อกท่องเที่ยวแล้วแฮะ เพราะปล.มันยาวกันเหลือเกิน :p
ท่าทางคุณเธอจะเป็นริดสีดวงตัวอักษรมาหลายวันค่ะ

ขอบคุณกรอบจากคุณกุ้งค่ะ ชอบกรอบลายนี้จริงๆ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=kungguenter&month=11-2008&date=12&group=23&gblog=90

update:เพิ่มรูปภาพซูมๆนะคะ