(10-11-12 september 2009)
Dtart from my place Piazza Pitti

credit:http://gregor.retti.info/firenze/img/pitti-1.jpg
it's underconstruction so I borrow this pic from internet :p
This's the bridge and shop!
ชื่อว่าPonte Vecchio
เก๋ไก๋มากๆ

ดูตรงกลางดีๆมีอะไรเอ่ย..
..
..
..
ตรงกลางจะเป็นรูปปั้น ใครก้ไม่รู้ ...ซะงั้น

มีกุญแจด้วยนะเห็นป่าว
พี่รุจหรือหนังสือเที่ยวอิตาลีบอกไม่แน่ใจ
เพราะเครดิตจากเฟซบุ๊คอาร์ต(ลอกกันเห็นๆ)
กุญแจนี้จะมีชื่อคู่รักอยู่ เอามาคล้องแล้วให้โยนตัวลูกกุญแจทิ้งคลอง
จะได้รักกันไม่ให้อะไรมาพรากจากกันได้

เห็นหลายที่เลยที่อิตาลี
คิดเหมือนกันนะว่า..งี้ลูกกุญแจก็คงเกลื่อนเป็นมลภาวะแก่โลกนะสิ(ว่าไปโน่น)
เดินต่อไปก้อดูของฝาก ออกแนวดูไบ มีขายทองเครื่องประดับไรงี้
ฟ้าสดใส

เดินกันไปจนถึงUffizi Gallery
ฝนตกเล็กน้อยไม่ได้เข้าไปดูเฮียเดวิด ผู้โด่งดังข้างในเพราะคิวยาวและเวลาน้อย
แต่ก็ไม่เสียแรงได้ถ่ายภาพกับศิลปินชื่อดัง
Leonardo Davinci

และเฮียเดวิดข้างนอก

ขอบคุณวิกิพีเดียและเฟซบุ๊คของคุณอาร์ต ขอแปะเลยนะอาร์ต
"รูปปั้น David ของ Michelangelo (มิเกลันเจโล หรือที่คนไทยเรียกว่า ไมเคิลแองเจโล่นั่นเอง) รูปปั้นนี้เป็นรูปปั้นตัวแรกของโลกที่มีความเสมือนจริงมากที่สุด ของสรีระเพศชาย
เกร็ดความรู้ สังเกตดีๆ ว่าน้องจู๋ของเดวิดนั้นหดจิ๋วไม่ใช่เพราะด้วนตามกาลเวลา หรือหักไป แต่ไมเคิลแองเจโล่ตั้งใจทำให้เล็กเพราะว่า เดวิดกลัวยักษ์นั่นเอง ดูได้จากสีหน้าที่แสดงความหวาดกลัวเอาไว้นิดหน่อย
ตำนานเกี่ยวกับ David และ Goliath ตามไบเบิ้ลเล่าว่าชาวเมืองยิว โดนรุกรานจากกองทัพของโกไลแอทนอกประตูเมือง โกไลแอทตัวใหญ่และเหี้ยมโหดมาก ชาวเมืองต่างหวาดกลัว มีเพียงหนุ่มน้อยเดวิดที่ประกาศตนสู้กับโกไลแอทตัวต่อตัว
เดวิดปฏิเสธชุดเกราะ อาวุธใดๆ เขาขอเพียงไม้ยิงหนังสติ๊กกับก้อนหินที่เก็บได้ห้าก้อน เขาเชื่อว่า พระเจ้าอยู่ข้างเขาและโกไลแอทเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเมื่อต่อสู้กัน เดวิดยิงหนังสติ๊กเข้าไปฝังที่หน้าผากโกไลแอทได้สำเร็จ และตัดหัวเขาออกมาประกาศชัยชนะ
ที่มาจาก Wikipedia ครับ"
ความรู้มากมาย ต่อๆ
อันนี้รูปปั้นต่างๆ


แล้วเราก้อเดินไปร้านขายกระดาษที่มีชื่อเสียง(แต่แพงง่ะ)

ดูราคาแล้วกันแผ่นละ ๒ ยูโร หรือเกือบร้อยบาทแน่ะ

อันนี้น้องพี(น้อคคีโอ)หน้าร้าน

เวอร์ชั่นกระดาษ


ร้านน้องพี..ไม้ทั้งน้าน

อันนี้น้องพี

summer sunshine girls

ตอนเที่ยงไปกินอาหารตามร้านที่หนังสือชื่อ อิตาลี
ของสนพ.วงกลมแนะนำ


Pork

สงสัยจะเป็นเราคนเดียวที่ชอบไก่ย่างละมั้ง
ไปเดินต่อ


เดี๋ยวหนุ่มคนนี้จะน้อยใจ..บล็อกนี้เครดิตเฮียเค้าเยอะ

เอาหละ เว่ิ่นเว้อ..ไปเซียน่าดีกว่า
จุดเด่นของเมืองนี้คือ เมืองนี้เหมือนเมืองแฝดของฟลอเรนซ์
มีการแข่งกันกับฟลอเรนซ์ในเกือบทุกเรื่อง แต่โชคร้ายของเมืองนี้ตรงที่แพ้ฟลอเรนซ์
แถมมีโรคระบาดและคนตายไปเยอะมากอีก.
แต่เซียน่า ก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง มีโคมไปและธงประจำถนน
ดังเรื่องแข่งม้า ประมาณเดือนสค.ของทุกปี ตรงลานนี้จะมีแข่งม้า

และข้างๆก็มีบ่อน้ำ..สมัยก่อนน่าจะให้คน..ตอนนี้นกยึดค่ะ


เราก็ซื้อปัน ฟอร์เต้ ขนมฟรุ๊ตเค้กชื่อดังของที่นี่
พี่รุจพาไปซื้อ คนขายบอกว่ามีรสต้นตำรับ กับรสพริกไทย
ชะเอมเปรี้ยวใจ อยากลองรสพริกไทย เพราะราคาชิ้นเดียวไม่ง้อลูกค้าที่
4.8 EUR ก็ได้ใจอยู่..หวานได้ใจเลย
รสชาติเหมือนขนมไหว้พระจันทร์ไส้หวานมาก
แต่สำหรับเราก็กินแล้วหิวน้ำมากกว่า..น้ำหมด
เออ ลืมบอก ถนนเมืองนี้ลาดชันมาก
ประหนึ่งเดินขึ้นลงเขาเป็นระยะ


Duomo ของเซียน่า สวยไปอีกแบบ

พี่รุจคนนี้แหละค่า ขอบคุณไกด์จำเป็นที่น่ารักสองวันติดกันเลยเน้ออ

ปิดท้ายวันด้วยพิซซ่าร้านข้างๆที่นี่เลย..ร้านที่หนังสือบอกดันปิดอะ



ปิดท้ายคืนนี้ด้วยร้านไอติมอร่อยๆจ้า
ฟลอเรนซ์ครึ่งวันสุดท้าย

ไปดูโอโม หรือโบสถ์ใหญ่ประจำเมือง

คนเดียวก้อเต็มเฟรมแล้ว..ขอโทษนะเพื่อนๆ ฮ่าๆ

เดินตลาดนัด

ของเยอะแยะเลย
แนะนำพวกเครื่องหนัง กระเป๋ารองเท้า กับกระดาษสวยๆ
แต่ชะเอมได้พวงกุญแจกับโปสการ์ตมั้ง
บ่ายนี้จะได้เจอเพื่อนของเบนซ์และพวกเราจะลากเป๋าต็อกแต๊กไปโรม
เดอะแกงค์อีกสิบคนไทย รอที่โรมคืนนี้พร้อมทัวร์
แต่เรื่องมันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ หวิดหวุดเลยหละ
ชะเอมแอนด์เดอะแกงค์จะเจออะไร โปรดติดตามตอนต่อไปจ้า


 
 
 
No comments:
Post a Comment