Showing posts with label สกลนคร. Show all posts
Showing posts with label สกลนคร. Show all posts

Wednesday, October 12, 2011

เทศกาลแห่ปราสาทผึ้ง สกลนคร 2554 Wax Castle Festival




English Information
:::::::::Sakon Nakhon Wax Castle Festival::::::::::

October 1st through October 4th will see yet another festival celebrating the end of Buddhist lent ( Ok Phansa ), The Sakon Nakhon Wax Castle Festival.



The ancient tradition passed down through the ages, originated with the people of Sakon Nakhon carving elaborate trees from poles made of bees wax that they would take to the temple as an offering to make merit. This tradition has grown over the years from ornate trees to elaborate carvings of Buddhist temples and shrines completely made from bees wax.



Sakon Nakhon Wax Castle FestivalAccording to Buddhist religion upon death a person passes on to another life, the quality of that next life is determined by meritorious acts and or good deeds performed in this life. If the person practices the principles of Buddhism and engages in acts of devotion in their life they will gain merit and that merit will accumulate and lead to higher spiritual enlightenment in subsequent lives where they will live in the upper tiers of heaven. If that person doesn’t gain merit then they will be reborn to a life that is worse than their present life.



Sakon Nakhon Wax Castle Festival (1)The wax castles symbolize the ideal spiritual life that one aspires to in the next life. The wax castle festival falls into the Buddhist precept of merit as communal merit making. Many who are blessed with merit coming together for the greater good of the community. This is a special time of the year for families to get together and reunite in merit making activities. The family and community come together with the monks in an expression of Buddhist devotion that strengthens and bonds the family and community with the temple.



This is truly another Thai festival that must be seen. It’s four days of non stop activities includes the Royal boat parade, a light and sound show, a large community dinner and closing  with  the Wax Castle Parade. You can see videos below of the Wax Castle Parade last year.

Read more: http://thailandlandofsmiles.com/2009/09/28/sakon-nakhon-wax-candle-festival-2009/#ixzz1aYAz7P2f
source:http://thailandlandofsmiles.com/2009/09/28/sakon-nakhon-wax-candle-festival-2009/






เอาภาพเทศกาลแห่ปราสาทผึ้งมาฝากค่ะ วันนี้12/10/11 วันสุดท้าย

อันนี้ระหว่างขบวนปราสาทผึ้งเข้าสู่สนามมิ่งเมือง
จะมีพนักงานดันสายไฟ เหอๆ ตปท.เค้าฝังดินนะ ลดปัญหาเรื่องสายไฟไปได้เยอะ


อันนี้คือพระธาตุเชิงชุม ประจำจังหวัดสกลนคร


ชมภาพเลยแล้วกันนะคะ


ข้อมูลแห่ปราสาทผึ้ง
การแห่งปราสาทผึ้ง  เป็นประเพณีโบราณอีสาน มุ่งทำเป็นพุทธบูชา หรือเกี่ยวข้อง กับความเชื่อทางศาสนา คำว่า "ปราสาทผึ้ง" ในภาษาอีสานจะออกเสียง "ผาสาทเผิ่ง"
      ความเชื่อเรื่องการแห่ปราสาทผึ้ง  เกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมทางพุทธศาสนา โดยเริ่ม พิธีกรรมนี้ ในภาคอีสาน ตั้งแต่เมื่อใดนั้นไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ในตำนาน เรื่องหนองหาน (สกลนคร) กล่าวไว้ว่า ในสมัยขอมเรืองอำนาจ และครองเมืองหนองหานในแผ่นดินพระเจ้าสุวรรณภิงคาราช  ได้โปรดให้ ข้าราชบริพารทำต้นผึ้งหรือปราสาทผึ้งในวันออกพรรษา เพื่อห่คบงันที่วัดเชิงชุม (วัดมหาธาตุเชิงชุมวรวิหาร) จากนั้นเมืองหนองหานได้จัดวันปราสาทผึ้ง ติดต่อกันมาทุกปี

ปราสาทผึ้ง
การตกแต่งปราสาทผึ้ง

     ความเชื่อในประเพณีการแห่ปราสาทผึ้งนั้น มีรากฐานของความเชื่อ ที่เนื่องมาจากความเชื่อในพุทธศาสนา ความเชื่อในเรื่องภูตผีวิญญาณ และความเชื่อ ในศาสนาพราหมณ์ กล่าวคือ

     ความเชื่อที่เนื่องในพุทธศาสนา ถือเป็นปรัชญานำมาสู่การสร้างปราสาทผึ้งนั้น มีที่มาจากเรื่องราวพุทธประวัติ ซึ่งมีปรากฏในเหตุการณ์ที่สำคัญคือ เหตุการณ์ตอนที่ พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาที่ป่าปาเลไลยก์ ได้พบช้างและลิงที่มาทำหน้าที่ เป็นอุปัฏฐาก โดยเฉพาะลิงนั้น ได้นำรวงผึ้งมาถวายแด่พระพุทธองค์ เมื่อพระพุทธเจ้า รับรวงผึ้งนั้นไปแัน ทำให้ลิงกระโดดด้วยความดีใจ จนพลาด ตกจากต้นลงมาตาย  ด้วยอานิสงส์ที่ลิงได้ถวายรวงผึ้งแดพระพุทธองค์ (จากการ ที่ผู้จัดทำได้ศึกษาเรื่องนี้ ก็ไม่ปรากฏว่าลิงพลาดตกต้นไม้แต่ประการใด ไม่ทราบว่า คงมีใครเอามาเล่าต่อ ๆ  กันมา) ทำให้ได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และเหตุการณ์ ตอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ขณะเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ภายหลังจากที่เสด็จไปจำพรรษา เทศนาโปรดพระพุทธมารดา และเหล่าเทวดา ด้วยการเปิดโลกทั้งสาม คือ สวรรคภูมิ  มนุษยภูมิ และนรกภูมิ ได้เห็นซึ่งกันและกัน โดยตลอด ซึ่งเรียกเหตุการณ์ตอนนี้ว่า เทโวโรหนปริวัตต์  ทำให้ผู้คนเห็น ความแตกต่าง ของความสะดวกสบายบนสวรรคภูมิ และความยากลำบากในนรกภูมิ ด้วยเหตุดังกล่าว ทำให้พุทธศาสนิกชน ได้คิดสร้างอาคารศาสนสถาน ถวายเป็น พุทธบูชาด้วยหวังให้เป็นอานิสงส์เพื่อที่จะได้ไปเกิดบนสวรรค์


ปราสาทผึ้ง อันสวยสดงดงาม

     ส่วนความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างปราสาทผึ้งจาเรื่องไตรภูมิพระร่วง ในพุทธศาสนา ซึ่งเป็นคำสอนที่มีปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนา ที่ว่าด้วยการที่มนุษย์ต้องเวียนว่าย ตายเกิดในโลกภูมิต่าง ๆ  ตามที่ได้ประกอบกรรมดีหรือกรรมชั่วไว้ โดยเฉพาะ ความเชื่อที่ว่า ผู้ที่ประกอบกรรมดีจะได้ไปเกิดบนสวรรค์ภูมิชั้นต่าง ๆ  ที่มีวิมาน ปราสาทเป็นเรือนที่อยู่อาศัย

     ความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างปราสาทผึ้งจากเรื่องราวที่ปรากฏในคัมภีร์ มาเลยยเทวัตเถรวัตถุ (เป็นของพระลังกาแต่ง) ที่ได้กล่าวถึงพระมาลัยอรหันต์ ซึ่งเป็นพุทธสาวกองค์หนึ่ง (ไม่ใช่สาวกที่เกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า แต่เป็นสาวก รุ่นหลัง เหมือนพระนาคเสน และเป็นพระลังกา) ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เคย ไปเทศนาโปรดสัตว์ในนรกภูมิ (ความจริงแล้ว สัตว์นรกไม่สามารถฟังธรรมได้ เพราะอำนาจบาปกรรมที่ทำไว้ ไม่มีปัญญาที่จะรับรู้หรือเข้าใจธรรมได้) และได้เสด็จ ขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อไหว้องค์พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย์ (ในตำราทางพุทธ เถรวาท เรียกว่า "พระเมตไตยะ"  ที่จะเสด็จมาตรัสรู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาล หลังจากนั้น พระมาลัยอรหันต์ ได้เทศนาโปรดแก่พุทธศาสนิกชน เพื่อให้ทราบถึงวิธีการสร้างบุญกุศล เพื่อที่จะได้ไปเกิดบนสวรรค์ รวมทั้งการสร้าง อาคารศาสนสถานถวายเป็นพุทธบูชานั้นเป็นหนทางหนึ่ง ที่เป็นอานิสงส์ นำพาให้ได้ ไปเกิดในบนสวรรค์ มีวิมานเป็นที่อยู่อาศัย และมีเหล่านางฟ้าเป็นบริวารด้วย
zoom zoom งานนี้ใช้เวลาทำเป็นเดือนๆนะคะ เพื่อวันนี้เลย


     ความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างปราสาทผึ้ง จากเรื่องการประกอบพิธีพลีดวงวิญญาณ หรือพิธีกงเต็กตามคติในพุทธศาสนามหายาน ด้วยการจัดทำสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ตลอดจนการสร้างบ้านเรือนด้วยกระดาษ ในลักษณะของสิ่งของเครื่องใช้ และบ้านจำลอง แล้วนำมาเผาอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ผู้ล่วงลับ ได้นำไปใช้อยู่อาศัยในโลกหน้าต่อไป








     ความเชื่อที่เนื่องในภูตผีวิญญาณ เป็นความเชื่อพื้นบ้านที่ทำให้ชาวอีสาน ถือเป็น ปรัชญาคติที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างปราสาทผึ้ง คือ ความเชื่อที่ว่า คนที่ตายไป แล้ว  ดวงวิญญาณ (ทางพุทธเรียกว่า "โอปปาติกะ = สัตว์จำพวกหนึ่ง ที่ผุดเกิดขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ เช่น เทวดา สัตว์นรก เปรต อสุรกาย มนุษย์ต้นกัลป์ ฯลฯ เรียกง่าย ๆ  ว่า กายทิพย์") ก็ยังต้องการสิ่งต่าง ๆ  เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การต้องการที่อยู่อาศัย ทำให้มีการประกอบพิธีเซ่นสรวง ดวงวิญญาณ ตลอดจนการสร้างเรือนจำลองในลักษณะของศาลหรือหอผี (อีสาน ก็ทำเหมือนจีน คือ เอาไม้ไผ่มาทำเป็นโครงบ้าน แล้วปะด้วยกระดาษ) เพื่ออุทิศ ให้เป็นที่สิงสถิตแก่ดวงวิญญาณด้วย  จากความเชื่อดังกล่าว จึงเป็นแนวคิดส่วนหนึ่ง ที่ปรับเข้ากับการสร้างปราสาทผึ้ง ซึ่งมีลักษณะเป็นอาคารจำลอง เพื่ออุทิศส่วนกุศล จากการสร้างปราสาทผึ้งแก่ดวงวิญญาณบรรพบุึรุษ หรือเจ้ากรรมนายเวรผู้ล่วงลับ


ขบวนแห่งปราสาทผึ้ง

     ปราสาทผึ้งทรงพระธาตุ ลักษณะรูปแบบโดยส่วนรวม คล้ายกับองค์พระสถูปเจดีย์ หรือพระธาตุที่มีปรากฏ ในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คือ เป็นเจดีย์ทรงเหลี่ยม หรือบางทีเรียกว่า เจดีย์ทรง ดอกบัวเหลี่ยม เช่น พระธาตุพนม  พระเชิงชุม  พระธาตุ ศรีสองรักษ์ พระธาตุบังพวน ฯลฯ  จากหลักฐานภาพถ่าย จากกองจดหมายแห่งชาติ สันนิษฐานว่า น่าจะมีการ กระทำอยู่ในช่วง  พ.ศ. 2499 เป็นต้นมา

นายแบบเราตลอดงาน​ โฮะๆ




     ปราสาทผึ้งทรงหอผี เป็นปราสาทผึ้ง ที่สร้างขึ้น เลียนแบบอาคารเรือนที่อยู่อาศัยแบบพื้นเมือง ของชาวอีสาน แต่สร้างให้มีขนาดเล็ก เป็นลักษณะ ของเรือนจำลอง ปราสาทผึ้งแบบทรงหอผี มีลักษณะ เช่นเดียวกับศาลพระภูมิ หรือหอผีที่ชาวอีสาน นิยมสร้าง โดยทั่วไป อันเนื่องด้วยความเชื่อเกี่ยวกับศาลพระภูมิ ศาลมเหศักดิ์ หรือศาลปู่ตา ตามหมู่บ้านต่าง ๆ  ในชนบท ซึ่งลักษณะของศาลต่าง ๆ  เหล่านั้น จะมีลักษณะ โดยส่วนรวม ที่จำลองรูปแบบมาจากลักษณะรูปแบบ ของอาคารเรือนที่อยู่อาศัย  การสร้างปราสาทผึ้ง ทรงหอผี ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เมื่อประมาณ พ.ศ. 2473 เป็นต้นมา
ปราสาทผึ้ง
ขบวนแห่งปราสาทผึ้ง

     ปราสาทผึ้งทรงบุษบก  เป็นปราสาทผึ้ง ที่สร้างขึ้น เลียนแบบหรือจำลองจากบุษบก บุกษบก เป็นเรือนเครื่องยอดขนาดเล็ก หลังคาทรงมณฑป ตัวเรือนโปร่ง มีฐานทึบและเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ย่อมุขไม้ ลักษณะของปราสาทผึ้ง ทรงบุษบกนี้ มีลักษณะ เช่นเดียวกับบุษบกธรรมาสน์ ที่พระสงฆ์นั่งแสดงธรรม ซึ่งชาวอีสานเรียกว่า หอธรรมาสน์ หรือธรรมาสน์เทศน์

the 2D wax crafting,the story related to ancient Sakon Nakhon Province or the Buddha's story.
 แกะสลักขี้ผึ้งเป็นเรื่อ่งราวของจังหวัด หรือพุทธประวัติ



ปราสาทผึ้งที่ได้รางวัลชนะเลิศ(ถ้าจำไม่ผิดนะคะ)


    ปราสาทผึ้งทรงจตุรมุข เป็นปราสาทผึ้งที่สร้างขึ้น เลียนแบบหรือมีลักษณะที่แสดงถึงการจำลองรูปแบบ มาจากพระที่นั่งปราสาทราชมณเฑียรสถาน ในพระบรมมหาราชวัง แต่มีขนาดเล็กเป็นลักษณะ ของอาคารจำลอง ลักษณะรูปแบบของอาคาร ทรงจตุรมุข คือ อาคารที่มีแผนผังเป็นรูปกากบาท มีสันหลังคาจั่ว ชั้นบนอยู่ในระดับเดียวกัน และออกมุข เสมอกันทั้งสี่ด้าน ที่หลังคามีจั่วหรือหน้าบันประจำมุข ด้านละจั่ว หรือด้านละหนึ่งหน้าบัน ด้วยเหตุที่มีการออกมุขทั้งสี่ด้าน และประกอบด้วยหน้าบัน สี่ด้าน จึงเรียกว่า ทรงจตุรมุข  ซึ่งเป็นอาคาร ที่มีเรือนยอดเป็นชั้นสูงเช่นเดียวกับอาคารประเภทบุษบก และมีการออกมุขทั้งสี่ด้านที่หลังคาทรงจั่ว



     โดยทั่วไป ประชาชนจะนับเอาวันขึ้น  14  ค่ำ เดือน 11 เป็นวัน "โฮม" หรือวันรวมปราสาทผึ้งจากคุ้มต่าง ๆ ที่บริเวณวัด แต่ละคุ้มจะอยู่ซุ้มของตนเอง

     วันรุ่งขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 มีการทำบุญตักบาตร เสร็จแล้วจัดขบวนแห่ปราสาทผึ้ง ในแต่ละขบวน จะแห่ด้วยเกวียนใช้คนเทียมแทนวัว นางฟ้าปราสาทผึ้ง (เทพี) จะนั่งอยู่ตอนหน้าของเกวียน  ตรงกลางเป็น ปราสาทผึ้ง ขบวนแห่มีพิณ กลอง ฆ้อง ตามด้วยขบวนคนหนุ่มสาว และเฒ่าแก่ถือธูป เทียน ประนมมือ แห่ครบ 3 รอบ ก็ถวายแก่ทางวัด ประเพณีปัจจับัน นิยมทำกันมากในสี่จังหวัดภาคอีสาน คือ สกลนคร  นครพนม  หนองคาย และเลย

ที่มา..http://allknowledges.tripod.com/beepalace.html







Flower decoration Parade ขบวนแห่พฤกษชาติ


Garuda ครุฑ


Ancient National Dress


บรรยากาศของงาน








Ancient Wax Castle ปราสาทผึ้งแบบโบราณ




งานวัดรึเปล่านิ


Example of Parade ตัวอย่างขบวนแห่
















ขอคลายเครียดกับชาวไทยที่ประสบภัยทุกท่านค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ คุณยังเหลือชีวิต และงานนี้ที่จะต้องมาดูครั้งหนึ่งในชีวิตค่ะ

In Muang,Sakon Nakhon,Thailand ,we're still safe from the flood,as the location is located in highland and we can cerebrate the End of Buddhist lent which called "Wax Castle festival" the only festival in Thailand.It's held annually.Tomorrow 12/10/11 will be the last day of this festival.

Btw. WE CHEER UP FOR THAI AND PEPPLE WHO FACED THE FLOOD! BE STRONG,WE'RE WITH YOU


Wednesday, October 5, 2011

ละตินมาเที่ยวสกล...ตอนความประทับใจในหมู่บ้านวัฒนธรรมผ้าย้อมคราม




อ้างอิงจากบล็อกก่อนค่ะ

ละตินมาเที่ยวสกลนคร...ตอน ของฝากเป็นหมากเม่า(คลิกที่นี่)
Indigo Vllage & Home stay

ตอนนี้ในสนามมิ่งเมืองกำลังแออัดไปด้วยผู้คนที่ไปชมปราสาทผึ้ง
ที่แห่ไปเมื่อเย็นวันนี้(22/10/10)ค่ะ เมื่อวานไปมาถ่ายภาพได้บรรยากาศ
แต่ไม่ได้ถ่ายปราสาท เพราะเค้าย้ายที่แล้วเราเข้าใจว่าเค้ายังไม่ได้เอามาแสดง..
ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ยังมีค่ะ
พ่อบอกว่าปีนี้มีวิวัฒนาการหลายๆอย่าง สวยมากๆ
(พ่อกับน้องอุ้ยคุงไปเป้นนักข่าวนอกสถานที่ให้เอมหวานเรียบโร้ย)
เมื่อวานที่ไปก็ได้ดูรำมวยโบราณหญิง..ถ่ายวีดีโอไว้ด้วย
ไว้จะอัพลงยูทูปมาให้ดูนะคะ


คืนนี้ก็ต่อด้วย เทศกาลไหลเรือไฟ จ.นครพนม..สวยค่ะ
แต่คงไม่ไปเบียดกับใครดูวันนี้แน่ๆ แฮ่ๆ
เพราะมีการบ้านอัพบล็อกดองเค็มค่ะ แถมตะพาบตัวนี้จะไม่ยอมตกรถแน่ๆค่ะ
.....

บล็อกเอนทรี่นี้เป็นช่วงที่นักธุรกิจ14 ประเทศละตินอเมริกาและทะเลแคริบเบียน
มาดูงานที่ประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา จังหวัดสกลนคร โดยหอการค้าจังหวัด
ก็ร่วมเป็นเจ้าภาพ 3 วันค่ะ
จริงๆต้องนับว่าวันเดียว เพราะเดินทางมา 1 วัน และกลับอีก 1 วัน
คือถ้านั่งรถบัสนี่ระยะทางพอๆกับไปเชียงใหม่ค่ะ เกือบ 10 ชั่วโมง
และชาวต่างชาติอาจได้บั้นท้ายบานได้ง่ายๆ

แต่เอมว่าวันนั้นน่าประทับใจแน่นอน
เพราะสิ่งเหล่านี้หาไม่ได้ในเมืองใหญ่และประเทศของเค้าค่ะ
เอมเองก็ยอมรับว่า..นี่คือครั้งแรกเหมือนกัน

รู้แต่ว่า...วันนี้เราจะไปหมู่บ้านผ้าย้อมครามและศูนย์ศิลปาชีพกุดนาขามค่ะ

ที่แรก...หมู่บ้านวัฒนธรรม บ้านพันนา


นั่งรถจากอำเภอเมืองสกลนครไปที่บ้านพันนา อำเภอสว่างแดนดิน
ใช้เวลาเกือบครั้งชั่วโมง
แต่นั่นก็ไม่ทำให้เราเหนื่อยเลย เมื่อเจอภาพชาวบ้านมาต้อนรับแบบนี้


ชาวบ้านมารอพร้อมของที่ระลึกค่ะ..ผ้าขาวม้า
ฝรั่งตื่นเต้นกันมาก แต่เราชอบนะ ตอนที่เค้าผูกผ้าเสร็จ คนผูกคนรับก็ไหว้กัน
งดงามจริงๆ..จากรูปนี่มีเด็กตัวเล็กๆมายืนต้อนรับกับเค้าด้วย




เราก็มาเข้าฟังบรรยายความเป็นมาก่อน
ว่าหมู่บ้านนี้เป็นหนึ่งในเครือข่ายผ้าย้อมครามของจังหวัด
และเป็นโครงการในพระราชดำริเรื่องความพอเพียง


ประธานกลุ่มคือ คุณป้าคำพูล สุราชวงศ์
เค้าพูดไปยิ้มไป อารมณ์ดี หรือเขิน หรือภูมิใจก็ไม่รู้แฮะ
ผ้าครามดีตรงที่กันรังสียูวี และกันยุงและแมลงได้ด้วย(มัลติฟังก์ชั่นจริงๆ)


พอฟังบรรยาย มอบของที่ระลึกอะไรเสร็จ..เราจะไปดูกรรมวิธีการผลิตผ้าครามกันค่ะ
แต่..

ทุกคนต้องหยุด
และหยิบกล้องมาถ่าย..อีกแล้ว


คุณตา(พ่อใหญ่) กับคุณยายมาโชว์เพลงพื้นบ้านให้ฟังคะ
(เห็นไหมว่าหาไม่ได้ที่บ้านเขา อิอิ)
กระบวนการผลิตนี่เริ่มจากนุ่น แยกเม็ดออก(ภาพล่าง)
แล้วเอาที่ยิงเหมือนธนูมาดีดให้มันเล็กลง
แล้วก็เอามาเกลียวเป็นเสัน(บนซ้าย)
แล้วก็ม้วนเป็นกลุ่มด้าย


เสร็จก็จะมัดผ้าออกแบบลวดลาย..ตรงนี้คือความสนุกของครีเอทีฟค่ะ


พอย้อมเสร็จก็แกะเชือกฟางออก เอามาเข้าม้วนใหม่เพื่อทอค่ะ

ผืนหนึ่งเป็นเมตรๆ ใช้เวลาเป็นอาทิตย์ หรือถ้าจะให้ลายสวยๆ ก็เป็นเดือน


ทีนี้เรามาดูกรรมวิธีการทำครามสำหรับย้อมค่ะ
หลายๆคนคงจะสงสัยเหมือนเราว่า ผ้าครามเหมือนผ้าหม้อฮ่อมเลย
แต่ความเป็นจริงคือ ผ้าสองประเภทให้สีน้ำเงินเหมือนกันแต่คนละเฉดค่ะ
ผ้าหม้อฮ่อมจะใช้แก่นไม้ ผ้าครามจะใช้ใบ ซึ่งเป็นตระกูลใบเล็กๆเหมือนมะขาม

วิธีการคือ เอาใบจากต้นครามมาแช่น้ำยาแล้วเอาไม้กดๆตีๆ(แบบภาพล่างกลาง)
ให้สีมันออกมาค่ะ
แล้วเอาไปหมักที่ไห(ล่างขวา) ก็ไล่ไปเลยอาทิตย์แรกไหแรก อาทิตย์ที่สองย้ายมาไหสอง
เพื่อให้สีได้ที่มีความเสถียร(อันนี้ฟังจากยายมานะคะ)

การมัดย้อมก็จะทำให้ผ้าไล่โทนสีไปด้วย สวยทีเดียวเชียวหละค่ะ

แต่..ฝรั่งละตินนี่..ช่างสรรหาจริงๆนะ
ไปสนใจอาหารมื้อเที่ยงค่ะ ชาวบ้านเค้าทำผักเคียงใส่กับลาบ
ใส่ในกระบอกไม้ไผ่ เก๋กู๊ดมากๆ


น้องภาพล่างซ้ายนี่ก็เป็นตัวแทนเยาวชนของหมู่บ้านค่ะ
อธิบายสรรพคุณผักต่างๆอย่างมืออาชีพทีเดียว
(แมวไม่มอง พี่มองให้นะจ้ะคุณน้อง)

zooom closer


อีกแล้วค่ะทุกท่าน นี่คือข้าวเหนียวชุบไข่ปี้ง และกล้วยปิ้งเจ้าค่ะ
สนใจรุมสัมภาษณ์คุณป้ากันยกใหญ่..ศรีจะเป็นลม


แทรกภาพน่ารักๆนะคะ
เป็นแฟชั่นต่างเพศ ต่างวัยค่ะ
น้องหนู คุณตาก็ใส่เกี๊ยะมาอวด บอกว่าเป็นมรดกตั้งแต่โบราณ
(อีสานเรามีเชื้อญี่ปุ่นด้วยแฮะ
คุณยายก็โชว์ย้อมครามในชุดคราม..วิ้วๆ


พอชมกรรมวิธีต่างๆเสร็จก็ใกล้เที่ยงแล้วค่ะ
เดินทางกันมาไกล๊ ไกล ขวัญคงจะหาย
ชาวบ้านที่น่ารักเลยจัดพิธีบายศรีสู่ขวัญให้
คุณตาใส่สูทขาวอย่างเท่เลย



บรรยากาศอบอุ่นมากๆ




เสร็จพิธีอิ่มใจ ก็มารับประทานอาหารกัน..แบบขันโตก
สวยและครีเอทมากๆ ข้าวหุงธัญพืช กลอยกับฟักทอง
ไข่ปิ้งกล้วยปิ้ง(เมื่อกี้) แล้วก็ตำแตง กินกับข้าวเกรียบ
ที่นี่เรียก"ข้าวโป่ง"
อีะ..อ๊ะ อย่าลืมล้างมือ ด้วยน้ำมะนาวข้างๆก่อนนะคะ

ภาพน้องๆนางรำผ้าคราม ยังเรียนมัธยมกันอยู่เลย

ชมโชว์ไปกินข้าวไป..ได้บรรยากาศอยู่ไม่น้อยค่ะ
ชอบพวกใบตองแล้วก็ชาอัญชัญสด..เก๋มากๆพี่น้อง ฝรั่งถามกันยกใหญ่ว่าหาซื้อที่ไหน
กินอิ่มทุกคนก็เริ่มมันส์ค่ะ ออกลวดลาย
พ่อหนุ่มอาร์เจนตินาคนนี้ มาโชว์เพลงดังของประเทศเค้า
แต่ดนตรีประกอบนี่หมอลำนะคะ




ชมภาพเคลื่อนไหวได้..น่ารักมาก
เป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมข้ามทวีปจริงๆ

เสียดายใช้กล้องดิจิตอลถ่าย ภาพและเสียงอาจจะไม่ชัดนะคะ
คุณยายสองคนนี่ท่าทางจะสนุกที่สุด และคืนนั้นคงหลับสบาย เพราะแดนซ์กันกระจายค่ะ

บางส่วน เริ่มช้อปปิ้งแล้ว

ราคาที่นี่เนื่องจากเป็นแหล่งผลิต ก็จะถูกกว่าราคาที่ห้าง หรือที่เมืองทองธานีเวลาไปออกร้านอยู่มากค่ะ

ขยายให้เห็นชัดๆ



นอกจากผ้าครามแล้ว ยังมีผ้าย้อมสีธรรมชาติอื่นๆ อีกค่ะ
เอมได้ผ้าพันคอสีเขียว เหลืองจากมะม่วง แล้วก็น้ำตาลชมพู ในราคา500บาท
ถ้าซื้อห้างมีหวังหลักพันแน่ๆ..
ก็คงต้องราคานั้นเพราะต้องให้ค่าขนส่งค่าจัดการนายหน้าเค้าละค่ะ
เฮ้อ..โปรโมทแบบชาวบ้านเอมหวาน เพราะเห็นใจว่าการตลาดเค้ายังไม่มีเลยค่ะ





ก่อนอำลาก็ถ่ายภาพกันเป็นที่ระทึก

ภาพบนขวา คือภาพคุณตา(พ่อใหญ่)ใส่เกี๊ยะมาส่งถึงรถเลยค่ะ
เป็นห่วงอยากให้เดินทางกลับกันปลอดภัย..น่ารักมากๆ

ใครสนใจก็เชิญติดต่อได้ตามนี้นะคะ(ไทยเที่ยวไทย เงินไม่ไหลออกค่ะ)

หรือที่เวปไซต์(ที่เราหาเองจากกูเกิล จัดทำโดยธกส.)
http://www.tourvtthai.com/home/index.php?option=com_content&view=article&id=243:2010-02-24-07-31-36&catid=46:2010-02-16-04-07-36&Itemid=10

ทราบจากชาวบ้านว่าเค้ามีโฮมสเตย์ด้วยนะคะ
ถ้าเบื่อวิถีชีวิตเดิม พักร้อนหน้าลองหาเที่ยวแบบนี้เป็นทางเลือกนะคะ

....เวลาน้อยค่ะ ตอนบ่าย เราไปศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ณ อีสาน เอ๊ย กุดนาขาม
..เรื่องยาวอีกเหมือนกัน
ไว้เล่าต่อบล็อกหน้านะคะ

ปล.สกลนครน้ำไม่ท่วมนะคะ อยู่หลังเขาพอดี๊
ก่อนจะไปชมโฆษณา เอ๊ย ชมเอนทรีอื่นๆ ก็ขอกำลังใจสักจึ๊กนะคะ

โหวตได้ทุกวันไม่มีวันหยุดนะคะ


 ขอบคุณค่าา


-:::::::updated ตะพาบตัวที่สิบแปดมาแล้วค่ะ:::::::

สมสร้อยและ..บืด(เชิญคลิก)


ขอบคุณกรอบจากคุณกุ้งค่ะ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=kungguenter&month=05-2009&date=03&group=23&gblog=118